วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2562

Wednesday  9  September  2019

Learnig  Log  6



      วันนี้เป็นการนำเสนอการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางการศึกษาปฐมวัยของนักศึกษา  ดังนี้


1.การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป   (High-Scope)   โดย  Dr.David  Weikart  
                       
                             

       ไฮสโคป (High Scope)  หมายถึง  การสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ ซึ่งตรงตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเปียเจต์ (Piaget) นักการศึกษาที่สำคัญคนหนึ่งของโลก ความสำคัญในด้านพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน จะเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด  ความรู้  ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนอง
        
        หลักการการสอนแบบไฮสโคป    ดังนี้

1.การวางแผน  (Plan) 
          แบ่งเด็กเป็น 2  กลุ่ม   คือ  กลุ่มใหญ่และกลุ่มย่อย   เด็กจะวางแผนนำสัญลักษณ์มาติดไว้ที่กิจกรรมที่สนใจจะทำก่อน
2.การลงมือปฏิบัติ  (Do)   
          เริ่มทำกิจกรรม  40-50  นาที  เมื่อเด็กๆทำกิจกรรมเสร็จแล้วจะต้องนำไปส่งที่ครูและนำไปใส่ที่กล่องเก็บผลงาน   จากนั้นกลับมาหาครูประจำกลุ่ม  ครูถามเด็กว่าทำอะไรบ้าง
3.การทบทวน (Review)
        เด็กๆนำเสนอผลงานตนเอง โดยครูทบทวนถามว่าได้ทำตามที่วางแผนไว้หรือไม่  อย่างไรบ้าง

วงล้อแห่งการเรียนรู้   ประกอบด้วย 5 เรื่อง   ดังนี้  
       1.การเรียนรู้แบบ  Active  learning
       2.เรื่องของการปฏิสัมพันธ์ทางบวก 
       3.เรื่องของการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อให้เอื้อต่อการเรียนรู้  
       4.การจัดกิจวัตรประจำวัน   ได้แก่  การจัดกิจกรรมกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย และการใช้กระบวนการวางแผน ลงมือปฏิบัติ และทบทวน 
       5.การประเมินพัฒนาการ

องค์ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป   
         
          1.เปิดโอกาสให้เด็กเป็นผู้ริเริ่มในการเลือกและตัดสินใจทำกิจกรรมและใช้เครื่องมือต่างๆตามความสนใจของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากกว่าได้รับการบอกต่อความรู้จากผู้ใหญ่
         2.จัดเตรียม สื่อและวัสดุอุปกรณ์ ในห้องเรียนให้มีความหลากหลาย และเหมาะสมกับอายุของเด็ก
         3.พื้นที่และเวลาในห้องเรียนแบบไฮ/สโคป ต้องมีพื้นที่เพียงพอต่อการทำกิจกรรมของเด็ก ทั้งการทำกิจกรรมคนเดียวและการทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม 
         4.เน้นให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับวัตถุและนำไปสู่การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ และความเกี่ยวข้องของวัตถุนั้นได้ด้วยตัวเอง
         5.ภาษาจากเด็ก เป็นสิ่งที่เด็กสะท้อนประสบการณ์และความเข้าใจของเด็กออกมาเป็นคำพูด ซึ่งเด็กมักจะเล่าว่าตนเอง กําลังทําอะไร หรือทําอะไรไปแล้วในแต่ละวัน เมื่อเด็กมีอิสระในการใช้ภาษาเพื่อสื่อความคิด เด็กจะรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
         6.ครูคือผู้สนับสนุนและชี้แนะ ซึ่งครูในรูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบไฮ-สโคปนั้น จะต้องเป็นบุคคลที่คอยรับฟังและส่งเสริมให้เด็กคิด ทําสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง และเป็นผู้สร้างสรรค์ห้องเรียนเพื่อให้เด็กได้พบกับประสบการณ์สําคัญมากมาย ในชิวตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ

 ตัวอย่างการสอน:   กลุ่มที่ 1  การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์  (หน่วย  ตัวเรา) 
ได้แก่   วาดรูประบายสี       ปั้นดินน้ำมัน     ประดิษฐ์ของเล่น

 


ตัวอย่างการสอน: กลุ่มที่ 2  การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 
ได้แก่   ฉีกปะติดรูปปลา    วาดรูปสีเทียน   ปั้นดินน้ำมัน


2.การจัดการเรียนรู้แบบ Project Approach   โดย Lillian Katz และ Sylvia Chard 

           Project Approach   หมายถึง การเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากการจัดการเรียนรู้แบบ Regio Emilia ในประเทศอิตาลี ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบนี้ เด็กจะเรียนรู้ลุ่มลึกในเรื่องที่เด็กสนใจ อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งนั้น เป็นการเรียนรู้ที่เด็กจะเป็นนักวิจัยตัวน้อย วิธีการเรียนรู้แบบ Project Approach จะช่วยให้ครูบูรณาการกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา หรือสุขศึกษา เข้าไปให้เด็กได้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการที่เด็กจะเรียนรู้ว่าจะสามารถหาคำตอบหรือข้อมูลของสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างไร และแหล่งข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้มีที่ใดบ้าง เด็กจะได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับทราบด้วยวิธีที่หลากหลาย
         
ระยะที่  1  เริ่มต้น
          เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไร เกี่ยวกับเรื่องที่เลือกแล้วบ้าง ครูช่วยให้เด็กๆบันทึกความคิดของเด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น วาด ปั้น จำลอง ฯลฯ เด็กๆบอกข้อสงสัยที่เด็กๆมีเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆจะเรียนรู้ และครูช่วยให้เด็กๆสรุปตั้งคำถามที่เด็กๆต้องการ หาคำตอบในระหว่างการสำรวจสืบค้นครั้งนี้ และบันทึกคำถามเหล่านั้น เด็กๆพูดคุยเกี่ยวกับว่าคำตอบที่เด็กๆจะสำรวจสืบค้นได้นั้น น่าจะเป็นอะไร อย่างไร ครูช่วยเด็กๆบันทึกความคาดคะเนของเด็กๆไว้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลในภายหลัง

ระยะที่  2  การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้
           ครูช่วยเด็กๆวางแผนไปสถานที่ต่างๆ ที่เด็กๆสามารถสำรวจ สืบค้นได้ รวมถึงการจัดหาวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เด็กๆสนใจเรียนรู้ ที่จะสามารถตอบคำถามของเด็กๆได้ มาให้ความรู้กับเด็กๆ เด็กๆใช้หนังสือและคอมพิวเตอร์ในการสืบค้นข้อมูล โดยมีครูเป็นผู้ช่วยเหลือ ในระหว่างกิจกรรมในวงกลมที่เด็กๆสามารถประชุมร่วมกัน และนำเสนอรายงานสิ่งที่เด็กๆค้นพบในการทำกิจกรรมต่างๆเป็นระยะ ครูส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กๆถามคำถามและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆแต่ละคนได้ค้นพบคำตอบหรือเรียนรู้ด้วย เด็กๆวาดภาพ ถ่ายภาพ เขียนคำและป้ายต่างๆ สร้างกราฟและหรือแผนภูมิสิ่งที่เด็กๆวัดและนับ แล้วเด็กๆก็สร้างจำลองสิ่งที่เด็กๆสนใจเรียนรู้กัน เมื่อเด็กๆเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆสามารถพิจารณาทบทวนและเพิ่มเติมหรือทำจำลองใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไปได้เรื่อยๆด้วย

ระยะที่  3  การสรุป Project

         เด็กๆอภิปรายกันถึงหลักฐานต่างๆที่เด็กๆได้สืบและค้นพบที่ช่วยให้เด็กๆตอบคำถามที่เด็กๆตั้งไว้ได้ และเด็กๆจะได้เปรียบเทียบสิ่งที่เด็กๆเรียนรู้กับความรู้เดิมของเด็กๆว่าตรงกันหรือไม่ รวมถึงเปรียบเทียบกับการคาดคะเนของเด็กๆที่ทำไว้ตั้งแต่ระยะแรกด้วย เด็กๆช่วยกันวางแผนจัดแสดงให้ผู้ปกครองและเพื่อนๆ และบุคคลอื่นๆได้เห็น วิธีการเรียนรู้ กิจกรรม ผลงาน และสิ่งที่เด็กๆค้นพบเรียนรู้ เด็กๆลงมือจัดแสดงเพื่อแบ่งปันความรู้และเรื่องราวเกี่ยวกับ “ Project Approach ” ของเด็กๆ ครูจะได้ช่วยสนับสนุนส่งเสริมนักสืบรุ่นจิ๋วเหล่านี้วางแผน และดำเนินการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆทำ และค้นพบกันอย่างสนุกสนาน กระตือรือร้นและภาคภูมิใจ


ตัวอย่างการสอน:   กลุ่มที่ 1 โปรเจกต์เรื่อง  ช้าง


           
ระยะที่  1  เริ่มต้น
       -เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ 
       -เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไรเกี่ยวกับช้างบ้าง
       -ครูถามคำถามที่เด็กอยากรู้เรื่องช้าง และหาคำตอบด้วยวิธีใดได้บ้าง
       -ครูช่วยให้เด็กๆบันทึกความคิดของเด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น วาด ปั้น จำลอง 

ระยะที่  2  การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้

        -ครูให้ความรู้เรื่อง ช้าง  เช่น พาไปศึกษาหาความรูนอกสถานที่  หรือเชิญผู้ปกครองที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ช้าง  มาให้ความรู้เด็ก
        -ครูออกแบบกิจกรรมมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ภายในห้องเรียน

ระยะที่  3  การสรุปผล
        -ครูจัดนิทรรศการ  เรื่อง ช้าง   ตามมุมประสบการณ์ต่างๆ
        -รวบรวมเก็บข้อมูลทั้งหมด   ทั้งครู  ผู้ปกครองและเด็ก  
        -ประเมินการโปรเจคต์  เรื่อง ช้าง

ตัวอย่างการสอน:  กลุ่มที่ 2  โปรเจกต์  เรื่อง  นม
     


ระยะที่  1  เริ่มต้น
       -เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร  เช่น  นม ผักและไข่ 
       -เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไรเกี่ยวกับนมบ้าง   ได้แก่
1.นมหกใส่กระโปรงตอนเช้า
2.คุณแม่ไปซื้อนมที่ตลาด
3.ดื่มนมแล้วอ้วก
ต่อจากนั้น ให้เด็กๆเขียนคำว่านมลงในช่องว่างที่ครูเว้นไว้หรือวาดภาพนม
       -ครูถามคำถามที่เด็กอยากรู้เรื่อง นม  เช่น  นมคืออะไร    นมมีรสชาติอย่างไร
       -ครูบันทึกความคิดของเด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น  เขียนบันทึก  วาดรูป 

ระยะที่  2  การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้

        -ครูและเด็กๆร่วมกันวางแผนในการที่จะเรียนรู้เรื่อง นม 
        -ครูให้ความรู้เรื่อง นม  ได้แก่
1. พาเด็กๆไปซื้อนมที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต (เรียนรู้ความหมายของ "นม"  
2. พาเด็กๆไปห้องสมุด (เรียนรู้ที่มาของ" นม " เช่น  ลักษณะของนม    สีของนม  รสชาติ) พร้อมบันทึกข้อมูลทั้งหมดในการทำกิจกรรม
        -ครูออกแบบกิจกรรมมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ภายในห้องเรียน   เช่น  นำประเภทของนม มาให้เด็กได้เรียนรู้

ระยะที่  3  การสรุปผล
        -ครูจัดนิทรรศการ  เรื่อง นม   ตามมุมประสบการณ์ต่างๆ
        -รวบรวมเก็บข้อมูลทั้งหมด   ทั้งครู  ผู้ปกครองและเด็ก  

        -ประเมินการโปรเจกต์  เรื่อง นม

3.การจัดการเรียนรู้แบบ STAM  Education  
         
         1.1 วิทยาศาสตร์ (Science)  ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี ความรู้ทางด้านวิศวกรรม และความรู้ด้านคณิตศาสตร์  รวมเข้าด้วยกัน

         1.2 เทคโนโลยี (Technology)  เป็นวิชาที่ว่าด้วยกระบวนการทำงานที่มีการประยุกต์ศาสตร์สาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาใช้ในการแก้ปัญหา ปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ หรือความจำเป็นของมนุษย์
         1.3 วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering)   เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อมาอำนวยความสะดวกของมนุษย์ โดยอาศัยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และกระบวนการทางเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานนั้นๆ
         1.4 คณิตศาสตร์  (Mathematics)  เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ หรือ วิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ เป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาและต่อยอดทางวิศวกรรมศาสตร์


 ตัวอย่างการสอน:   กลุ่มที่ 1  กิจกรรมเรือบรรทุกสินค้า
             

1.ครูบอกชื่อกิจกรรม และ บอกอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม   ได้แก่   ถังน้ำ   น้ำ ลูกแก้ว  ดินน้ำมัน กรรไกร และหลอดดูดน้ำ
2.ครูสาธิตการทำเรือบรรทุกสินค้า ให้เด็กๆได้เห็นเป็นแบบอย่าง
3.ครูแจกอุปกรณ์ให้เด็กๆในแต่ละกลุ่ม  โดยเด็กๆช่วยกันคิดวิธีสร้างเรือให้มันบรรทุกสินค้าได้มากที่สุด
4.เริ่มทำกิจกรรม  ครูเป็นผู้สนับสนุนเด็กและบันทึกผลการทำกิจกรรม

ตัวอย่างการสอน:  กลุ่มที่ 2    กิจกรรมแพลอยน้ำ




1.ครูบอกชื่อกิจกรรม และ บอกอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม   ได้แก่   ถังน้ำ  น้ำ  เหรียญบาท และ ดินน้ำมัน 
2.ครูสาธิตการทำเรือบรรทุกสินค้า ให้เด็กๆได้เห็นเป็นแบบอย่าง
3.ครูแจกอุปกรณ์ให้เด็กๆในแต่ละกลุ่ม  โดยเด็กๆช่วยกันคิดวิธีสร้างเรือให้มันบรรทุกสินค้าได้มากที่สุด
4.เริ่มทำกิจกรรม  ครูเป็นผู้สนับสนุนเด็กและบันทึกผลการทำกิจกรรม


Self  assessment

          เข้าเรียนตรงต่อเวลา  ตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนนำเสนอหน้าชั้นเรียนและจดบันข้อมูลที่สำคัญแต่ละการเรียนรู้เป็นอย่างดีค่ะ

Friends  assessment

          เพื่อนๆที่ออกไปนำเสนอการจัดการเรียนรู้แต่ละรูปแบบ  สามารถอธิบายอย่างละเอียดและเข้าใจดี  มีกิจกรรมมาสอนเพื่อนๆให้เข้าใจขั้นตอนมากยิ่งขึ้นค่ะ

Teacher  assessment

           อาจารย์เสนอแนะข้อเพิ่มเติมในส่วนวิธีการสอนที่ต้องแก้ไขปรับปรุงให้ละเอียดอย่างชัดเจน  เพื่อที่จะไปใช้ในการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กๆได้อย่างถูกต้อง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น